ผื่นกุหลาบ โรคผิวหนังที่ชื่อน่ารัก แต่อาการไม่น่ารัก
5 ปีที่แล้ว
“ ปลูกกุหลาบแดงไว้เพื่อเธอ เก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าดอก ” ถ้าเกิดคนรักซื้อดอกกุหลาบให้ในช่วงเทศกาลวันวาเลนไทน์เราคงจะมีความสุขกันน่าดู แต่ถ้าดอกกุหลาบมันดันมาเกิดเป็นผื่นบนร่างกายของเราล่ะ! วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับโรคผิวหนังชนิดหนึ่งที่เรียกกันว่า “ ผื่นกุหลาบ ” แต่อย่าได้เข้าใจผิดว่าโรคผื่นกุหลาบ คือ โรคที่แพ้เกสรดอกกุหลาบ ซึ่งเป็นโรคคนละอย่างกันอย่างสิ้นเชิงนะครับ วันนี้เรามานำเสนอรอยโรคนี้กันครับ
โรคผื่นกุหลาบ โรคผื่นกลีบกุหลาบ หรือ โรคผื่นขุยกุหลาบ ( Pityriasis Rosea ) ที่มาของชื่อโรคมาจากการรวมคำโดยใช้คำว่า “ Pityriasis ” ซึ่งหมายถึง “ เป็นขุยบาง ๆ ” ส่วนคำว่า “ Rosea ” นั้นแปลว่า “ สีดอกกุหลาบ ” นั้นเอง โดยโรคชนิดนี้เป็นโรคผิวหนังอักเสบชนิดหนึ่งที่พบได้ทั่วไป สามารถพบได้ในทุกเชื้อชาติทั่วโลก มีลักษณะเฉพาะที่ชัดเจน ไม่ใช่โรคติดต่อ และไม่อันตรายร้ายแรงจนส่งผลต่อชีวิต ซึ่งสาเหตุของโรคยังไม่มีที่มาชัดเจน แต่สันนิษฐานว่ามาจากการติดเชื้อไวรัสตระกูลเฮอร์ปีส์ ( Herpes Virus ) อย่างเฉียบพลัน
โดยอาการของโรคผื่นกุหลาบมีลักษณะเกิดผื่นคันขึ้นเป็นวงกว้างสีชมพูรูปวงกลม หรือวงรี หรือเป็นจุดรูปไข่ และมีขุยล้อมรอบเป็นปื้นใหญ่โดด ๆ ซึ่งจะขึ้นตามบริเวณลำตัว แผ่นหลัง ใบหน้า หนังศีรษะ หรือบริเวณใกล้อวัยวะสืบพันธุ์ ผู้ป่วยราว 75% จะมีอาการคัน และราว 25% อาจมีอาการคันรุนแรงมาก โดยอาจมีภาวะอาการไข้ร่วมขึ้นด้วยในระยะแรก ทั้งนี้อาการผื่นคันจะปรากฎอยู่ประมาณ 2-12 สัปดาห์ และอาการหายไปเองโดยไม่ต้องเข้ารับการรักษา ส่วนผู้ป่วยที่มีผิวสีคล้ำอาจมีจุดสีน้ำตาลเกิดขึ้นหลังอาการผื่นขุยหายดีแล้ว ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีวิธีป้องกันไม่ให้เกิดโรคนี้ได้
ยาบางประเภทอาจสามารถกระตุ้นการเกิดโรค เช่น Aspirin ( ยาแก้อักเสบ และลดไข้ ) , Bismuth ( ยาแก้ท้องเสีย และคลื่นไส้ ) , Captoprill ( ยาลดความดันโลหิต ) , Metronidazole ( ยาฆ่าเชื้อ ) , Levomisol ( ยาฆ่าพยาธิ ) , Terbinafine ( ยารักษาเชื้อรา ) , Ketotifen ( ยาแก้โรคภูมิแพ้ ) , Isotretinoin ( ยารักษาสิว ) และ Salvarsan ( ยารักษาซิฟิลิส ) เป็นต้น
การรักษาผื่นกุหลาบ โดยปกติแล้วโรคนี้จะหายไปเองภายใน 7-8 สัปดาห์ แต่หากผู้ป่วยยังคงมีอาการเป็นเวลานานกว่า 3 เดือน ผู้ป่วยก็ควรรีบไปพบแพทย์ผิวหนังโดยตรง วิธีการบรรเทาอาการให้ทุเลาลงด้วยตนเองเบื้องต้น เช่น อาบน้ำเย็น หลีกเลี่ยงอาบน้ำร้อน หรือสภาพอากาศร้อน หลีกเลี่ยงความเครียด พักผ่อนให้เพียงพอ ขัดผิวด้วยข้าวโอ๊ต เลือกใช้สบู่อ่อน ทาโลชั่นบำรุงผิว เป็นต้น